การร่วมงานกับคุณพี่เคนเนทคงจะทำให้ราหุลติดใจในแนวทางการผสมผสานดนตรีจากสองซีกโลกอยู่ไม่น้อย มาในปี 2013 นี้ เขาเลยร่วมมือกับ Deep Forest ศิลปินเวิล์ดมิวสิคชื่อดังจากฝรั่งเศส ปลุกปั้นให้อัลบั้ม Deep India มีชีวิตขึ้นมา
เริ่มแรกเรารู้จัก Never Shout Never กลางปีที่แล้ว จากการดูวิดิโอตัวนึงในการโปรโมทแคมเปญอะไรสักอย่างของ Peta ช่วงนั้นพอดีว่าเรากำลังศึกษาเรื่องการเป็น vegan อยู่ เลยติดตาม Peta เป็นพิเศษ ก็เลยทำให้มีโอกาสไปป๊ะเข้ากับพ่อหนุ่มหน้ามน คนหน้าใส ลายสักเต็มตัว แถมระเบิดหูกับเจาะปาก อย่างคริสโทเฟอร์ ดรูว อิงเกิล และผองเพื่อนของเขาในนาม Never Shout Never สมาชิกทุกคนในวงเป็น vegan และทำเพลงอคูสติคป็อบร็อค นี่คือข้อมูลเบื้องต้นที่เราได้รู้จากวิดิโออันนั้น ทำให้เราต้องไปสืบเสาะหาเพลงมาฟังจนสาแก่ใจ
ขอเริ่มกันที่แทร็คโปรดของเราเลยแล้วกัน Time Travel อินโทรขึ้นมาออกแนวอิเล็คทรอนิคส์ยังไงชอบกล สารภาพตามตรงว่าตอนแรกไม่ได้เตรียมใจกับแนวเพลงว่าจะเป็นแบบไหน เข้ามาหาฟังเพราะความอยากรู้อยากเห็นและอิมเมจของวงเป็นตัวนำ แต่ฟังได้ครึ่งเพลง เฮ้ย เพลงแม่งมันนี่หว่า ชอบเนื้อตรงที่ร้องว่า hey kid you don't know shit แหกปากร้องตามแล้วสะใจดี
ต่อกันที่แทร็คที่สอง เราลองย้อนกลับไปฟังงานเก่าๆที่ให้กลิ่นอายอคูสติคป็อบร็อคกันบ้าง On The Brightside จัดว่าเป็นงานของวงในยุคแรกสุดเลยก็ว่าได้ เพราะออกมากับ Summer EP ในช่วงปี 2009 เนื้อหาใสมากๆ มองโลกในแง่ดีสุดๆ เรียกว่าเป็นเพลงโลกสวยฟีลเดียวกับเจสัน มราซเลยแหละ ขัดกับอิมเมจของวงที่ดูเผินๆเหมือนจะเป็นอีโมเอามากๆเลย ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่อีโมหรอก แค่รอยสักและทรงผมมันพาไปมากกว่า
Can't Stand It เป็นอีกแทร็คที่เราชอบมากจากวงนี้ เนื้อหามันใสๆมากเลย ฟังได้เพลินๆ อารมณ์เพลงให้ฟีล puppy love สมัยม.ต้นมากๆ เป็นช่วงที่เราเริ่มฟังเพลงสากลอย่างจริงจังพอดี นึกภาพเห็นไอ้หนุ่มกระเตาะเรียนม.ต้นหัดเล่นเพลงนี้ด้วยกีต้าร์เพื่อจีบสาว
แทร็คท้ายสุดที่จะขอพูดถึง เป็นแทร็คที่ใครหลายๆคนที่ติดตามวงนี้ล้วนชอบกันเป็นพิเศษ แต่สำหรับเรากลับเฉยๆ ก็คือ What Is Love? ที่มีกลิ่นอายดนตรีร็อคเก่าๆ เหมือนจะเป็นโฟล์คร็อคหรือเปล่าเราไม่แน่ใจ แต่ส่วนตัวไม่ค่อยปลื้มดนตรีแนวนี้เท่าไหร่ รู้สึกเหมือนมันมีสำเนียงเฉพาะตัวที่ทำให้เรารู้สึกโหยไห้กับอะไรก็ไม่รู้อยู่ลึกๆ (ถ้าอยากเข้าใจว่าฟีลประมาณไหน ให้ลองไปหาคลิปคดีฆาตกรรมเจ้านายโดยสาวใช้ฝรั่งเศสตระกูล Papin ดู เพลงประกอบคลิปส่วนใหญ่ให้ฟีลแบบนั้นเลย) แต่ก็ลองแนะนำดู คิดว่าถ้าคนส่วนมากเขาชอบกันคนอ่านก็น่าจะชอบได้ไม่ยาก คงมีแต่เราที่เพี้ยนไปเองแหละ
Never Shout Never เป็นตัวอย่างนึงที่บอกกับเราว่าอย่าตัดสินอะไรจากเพียงภายนอก ว่ากันตรงๆจากตอนแรกที่ชอบในรูปลักษณ์ที่คล้ายๆจะอีโมนี้ เราไม่คิดหรอกว่าเราจะชอบงานเพลงของพวกเขานะ แต่หลังจากที่ได้ลองฟังจริงๆแล้วเราพูดได้เต็มปากเลยว่าชอบ และจะติดตามกันต่อไปอย่างแน่นอน
สำหรับแทร็คนี้ Live Your Life เป็นงานที่เธอออกกับสังกัด Fader ที่นิวยอร์กนี่แหละ พูดตรงๆว่าเราเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพลงแนวไหนเหมือนกัน เหมือนๆจะเป็นป็อบ แต่ก็ไม่ใช่ป็อบจ๋าที่เห็นกันทั่วไป ดนตรีมีความหม่นซ่อนอยู่ จะว่าเป็นโซลหรืออาร์แอนด์บีก็เหมือนจะมีกลิ่นนิดๆ แต่ด้วยวิธีการร้องแล้วก็ยังไม่ใช่ซะทีเดียว มันยากที่จะสรุปให้เข้าใจได้ เอาเป็นว่ามันเก๋มากก็แล้วกัน
เสียงของยูนาก็เป็นอีกสิ่งที่แฟนๆหลายคนพูดถึงกันมากมาย บางคนถึงกับออกปากว่าเธอมาจากโลกของนางฟ้าเลยทีเดียว และแทร็คที่ชื่อว่า Someone Out of Town ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าคำพูดนี้เกินจริงไปเลย
เราคงต้องบอกว่าในบรรดาสรรพเสียงสำเนียงของนักร้องทั้งชายหญิงจากทั่วโลกเนี่ย เสียงในแบบที่เราชอบมากที่สุดเห็นจะได้แก่เสียงของคนดำ หรือที่เรียกกันเป็นภาษาฝรั่งเก๋ๆว่า black voice นี่เอง จะด้วยเหตุผลกลใดเราก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ทุกๆครั้งที่เราได้ฟังเสียงคนดำ เราจะรู้สึกถึงความแหบห้าวในเนื้อเสียง เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ในกระแสเสียงนั้นที่ทำให้เรารู้ว่านี่แหละคือ black voice
ในวันนี้เราอยากจะขอแนะนำ black voice ของพวกเธอเหล่านี้ให้ได้รู้จักกัน แน่นอนว่าเสียงของพวกเธออาจจะไม่ใช่เสียงที่คุ้นเคยสำหรับผู้ฟังชาวไทยเท่าไหร่นัก แต่เราขอการันตีตรงนี้เลยว่าหากได้ลองฟังแล้ว คุณจะหลงใหลในเสียงของพวกเธอเหมือนกันกับเรา
เริ่มกันที่คนแรก สาว Ntjam Rosie นักร้องแจ๊สสายเลือดแคเมอรูนที่ไปเติบโตได้ดิบได้ดีในเนเธอร์แลนด์ กับงานในอัลบั้มล่าสุดของเธอที่มีชื่อว่า At the back of beyond งานชุดใหม่นี้ออกกับค่าย Gentle Daze ที่เธอเป็นเจ้าของเองซะด้วย เราจะพาคุณย้อนไปที่ปี 2011 กับงานของเธอจากอัลบั้ม Elle
วกกลับมาที่อัลบั้มล่าสุดของเธอกับแทร็คที่มีชื่อว่า Love Is Calling ซึ่งปล่อยออกมาให้ฟังกันเมื่อวาเลนไทน์ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนตัวรู้สึกว่าดีกรีความเป็นแจ๊สถูกลดระดับลงไปเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่นั่นก็เป็นธรรมดาของแจ๊สจากแถบยุโรปอยู่แล้ว ที่มักจะถูกจับไปผสมผสานกับอะไรก็ได้ที่เห็นว่ามันเข้ากัน สุดท้ายก็ออกมาเป็นแจ๊สรสชาติแปลกๆแต่เก๋ไม่หยอกแบบนี้แหละ
มาต่อกันที่สาวคนถัดไปเลยดีกว่าค่ะ เธอมีชื่อว่า Irma น่าบังเอิญเหมือนกันที่เธอก็มีที่มาเดียวกันกับ Ntjam คือประเทศแคเมอรูน แต่ต่างกันตรงที่เธอคนนี้มาเติบโตที่ฝรั่งเศสค่ะ เธอเป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่ผลิตผลงานเพลงแนวบลูส์ โฟล์ค ป็อบ และบัลลาด งานอัลบั้มแรกของเธอในปี 2011 มีชื่อว่า Letter to the Lord มากับซิงเกิลสุดฮิตอย่าง I Know
ถ้าได้ดู mv จะเห็นว่าเธอมากความสามารถจริงๆ ทั้งกลอง กีต้าร์ ร้องเองแต่งเองเสร็จสรรพ จุดเด่นของเพลงเราคิดว่าอยู่ที่การใส่ sampler ของเพลง Ain't No Sunshine เข้าไปได้อย่างเหมาะเจาะ ในท่อนที่ร้องว่า I know ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งมันก็ตรงกับชื่อเพลงอย่างพอดิบพอดีเลย
เอาละ สำหรับสาวคนสุดท้ายของวันนี้ แต่ยังไม่ใช่ท้ายสุดในบรรดาสาวผิวดำเสียงสวยนะ เพราะเราจะมาแนะนำสาวๆที่เหลือกันต่อในโอกาสหน้า เธอคือ Giovanca สาวผิวดำจากเนเธอร์แลนด์ งานเพลงของเธอต้องบอกว่าเก๋ไก๋ของแท้เลย เป็นส่วนผสมของนีโอ-โซลกับยูโรเปี้ยนแจ๊ส ก็จะไม่ให้เก๋ได้ยังไงในเมื่อเธออยู่ในค่ายเพลงอย่าง DoxAmsterdam ที่ผลิตแต่งานเพลงเก๋ๆทั้งนั้น (ไว้วันหลังจะมาแนะนำศิลปินเบอร์อื่นในค่ายให้ได้รู้จักกัน) เธอเริ่มเดินในเส้นทางนี้ตั้งแต่ปี 2007 แล้ว แต่ยังไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างเท่าไหร่ เพิ่งจะมาเป็นที่จับตามองเมื่อย่างเข้าอัลบั้มสองที่ชื่อว่า Subway Silence นี่แหละ กับเพลง On My Way ที่เรียกว่าเป็นแทร็คเปิดตัวสำหรับอัลบั้มสองที่ทำให้เธอโดดเด่นขึ้นกว่าเก่ามาก
สำหรับอัลบั้มล่าสุดในปี 2010 ที่ชื่อ While I'm Awake ก็มีแทร็คฮิตอย่าง Drop It มาเป็นตัวเชิดหน้าชูตา กลิ่นอายของโซลตลบอบอวลไปทั้งอัลบั้มเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีลีลาของยูโรเปี้ยนแจ๊สแฝงตัวอยู่ตามซอกหลืบเล็กๆอย่างน่ารักและพอเหมาะพอเจาะ
สิ่งที่เรากำลังรอคอยตอนนี้คืออัลบั้มใหม่ล่าสุดของเธอที่จะออกมาในหน้าร้อนปีนี้ แน่นอนว่าเราคาดหวังกับมันไว้มากพอสมควร เนื่องจากผลงานที่ผ่านมาของเธอทั้งที่ดังและไม่ดังเป็นผลงานที่เรียกได้ว่ากราฟไม่ตกเลย ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิลอย่าง Joyride หรือ Hynotize You เราก็เลยต้องคาดหวังไว้เป็นธรรมดา
ด้วยความที่เขาเป็นนักร้องนำก็เลยทำให้ภาพพจน์ของเขาเหมือนหัวหน้าวงไปโดยปริยาย Abdul & The Coffee Theory เป็นวงป็อบแจ๊สแบบมาตรฐาน เครื่องดนตรีแจ๊สที่มักจะพบเห็นได้ในวงป็อบแจ๊สทั่วไปก็สามารถหาได้ในวงนี้ แต่สิ่งที่ทำให้งานออกมากลมกล่อมเหมือนกาแฟชั้นดี เราคิดว่าอยู่ที่การเรียบเรียงทั้งพาร์ทของดนตรีและการร้องให้ออกมาเข้ากันได้ดีแบบที่เป็นอยู่นี้ เท่าที่ติดตามผลงานมาเรากล้าพูดเลยว่าเป็นวงดนตรีของอินโดนีเซียที่มีแฟนจากประเทศเพื่อนบ้านต่างๆเยอะมาก ซึ่งแน่นอนว่าเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ยังรอคอยที่จะได้ไปดูสดใน Java Jazz Festival อยู่เสมอ
งานของ Abdul & The Coffee Theory คงจะไม่ใช่แจ๊สที่มีรสจัดจ้านร้อนแรง หากแต่มันเหมือนกาแฟชั้นดีรสนุ่มที่ผ่านมือบาริสต้าคนเก่งอย่างอับดุลและเพื่อนๆของเขานั่นเอง
Jazz and 80s Vol.3 มีเพลงที่โดดเด่นอยู่หลายเพลงด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเมื่อ Scubba จับมือกับ Lizette เอางานชิ้นเอกของ Micheal Jackson มาทำใหม่ในแนว bossanova lounge ทำให้เพลงที่มีภาพพจน์แบบ gangster อย่าง Beat It กลับนุ่มลงแบบไม่น่าเชื่อ ด้วยเสียงฟลุทในช่วงอินโทรทำให้เมโลดี้ที่คุ้นเคยกันดีของเพลงนี้ถูกบรรเลงออกมาอย่างอบอุ่นน่าประหลาด ไม่ดุดัน ขึงขัง ชวนมีเรื่อง ท้าตีท้าต่อยเหมือนของต้นฉบับ ส่วนเสียงร้องไม่ต้องพูดถึง ก็นุ่มแบบเรื่อยๆมาเรียงๆกันไป เรียกว่าเข้ากับดนตรีได้ทีเดียวแหละ
สำหรับแทร็คถัดมาที่อยากจะพูดถึงก็คือ Don't You Want Me งานเก่าของ The Human League ที่นำมาทำใหม่โดย Stella Starlight Trio ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นวงทรีโอแจ๊ส ซึ่งไม่ทำให้เราผิดหวังเลย ตัวเพลงเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมมาก จากที่เป็นเพลงยุคดิสโก้จังหวะหนึบๆ กลายมาเป็นงานแจ๊สอย่างดีด้วยเครื่องดนตรีเพียงสามชิ้น ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปนั่งดริงก์เก๋ๆอยู่ในค็อกเทลบาร์ที่ไหนสักแห่ง แกล้มด้วยเพลงดีๆจากวงแจ๊สมากฝีมือ
จบกันที่แทร็คสุดท้ายที่อยากจะแนะนำในวันนี้คือ Jump ของ Van Halen แทร็คนี้เป็นอะไรที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะเป็นเพลงที่มีกลิ่นอายของดนตรีฮาร์ดร็อคของยุค 80 อย่างแท้จริง สำหรับเด็กที่เกิดมากลางยุค 80 อย่างเรา ถึงแม้จะยังเล็กเกินจะฟังเพลงฝรั่ง แต่บอกได้เลยว่าผ่านหูมาแล้วแน่นอน ด้วยตัวเพลงที่เป็นร็อคนี้บวกกับเสียงของ Eddie Van Halen ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์อย่างมาก แต่นั่นก็ไม่มากเกินกว่าที่ Cassandra Beck จะล้างมันซะใหม่เช็ดขนาดนี้ ด้วยลีลาการร้องอย่างนักร้องแจ๊สผิวดำ ขอสารภาพตรงนี้เลยว่าเราไม่รู้จักเธอมาก่อน ทันทีที่ฟังครั้งแรกยังคิดว่าคนร้องน่าจะหน่วยก้านเดียวกับ Billie Holiday ไปโน่นเลย
ซิงเกิลถัดมาที่มีชื่อว่า Could It Be สาวหน้าคมคนนี้ก็ยังไม่ทำให้เราผิดหวัง ตัวเพลงยังคงเป็นป็อบใสๆเหมือนเดิม แต่มีจังหวะที่กระฉับกระเฉงขึ้น ซึ่งก็เหมือนเคยที่เรายังคงฟังออกน้อยถึงน้อยมาก รู้เรื่องแค่ 3-4 คำเท่านั้น แต่เราก็พยายามเรียนภาษาของเขาอยู่นะ เพราะที่จะได้ฟังเข้าใจมากขึ้น